ความรู้ทั่วไปโรคลมชัก (Overview of Epilepsy)
บทนำ
โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นโรคหนึ่งที่พบบ่อย โดยพบประมาณ 6-10 คน ในประชากรหนึ่งพันคน ซึ่งเมื่อผู้ป่วยมีอาการชักจะสร้างความตกใจต่อตัวผู้ป่วย ญาติ และผู้เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก โดยผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่มีวิธีการช่วยเหลือที่ไม่เหมาะสม คือ จะพยายามกดหน้าท้อง หน้าอก หรือใส่วัสดุในปาก และพยายามกดหรือยึดตัวไว้ไม่ให้ผู้ป่วยชัก ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ป่วย และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ช่วยเหลือได้ เราจึงควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคลมชัก
โรคลมชักมีกลไกการเกิดโรคอย่างไร?
กลไกการเกิดโรคลมชัก เกิดจากการที่สมองบางส่วนหรือทั้งหมดมีความผิดปกติ และเกิดกระบวนการสร้างและปล่อยประจุไฟฟ้าที่ต่อเนื่องออกมา ซึ่งประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างผิด ปกตินี้เป็นตัวการทำให้เกิดอาการชัก
อะไรเป็นสาเหตุของโรคลมชัก?
สาเหตุของโรคลมชักเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
ในกลุ่มผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอายุจะมีสาเหตุการชักที่แตกต่างกัน เช่น
ทั้งนี้ ยาที่มีผลข้างเคียงอาจก่อการชัก เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด (เช่น ยาเพนนิซิลลิน/Penicillin ขนาดสูง) ยาทางจิตเวช ยาสลบ ยาเสพติด และยาขยายหลอดลม เป็นต้น
แพทย์วินิจฉัยโรคลมชักอย่างไร
การวินิจฉัยโรคลมชัก แพทย์จะต้องรู้ว่า
ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อมาพบแพทย์จะหายเป็นปกติแล้ว ข้อมูลที่แพทย์ได้ก็จะมาจากญาติหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งข้อมูลที่แพทย์ต้องการในการวินิจฉัยจากผู้ป่วยและผู้เห็นเหตุการณ์ คือ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องมีการตรวจเฉพาะอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
มีภาวะอื่นอะไรบ้างที่คล้ายกับโรคลมชัก?
ภาวะอื่นที่คล้ายกับโรคลมชัก ได้แก่
โรคลมชักรักษาหายไหม?
พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคลมชัก จะหายได้เมื่อรับการรักษาด้วยยากันชัก โดยลักษณะผู้ป่วยที่จะตอบสนองดีต่อการรักษาคือ
ส่วนผู้ป่วยที่รักษายากได้แก่
แพทย์รักษาโรคลมชักอย่างไร?
จุดมุ่งหมายของแพทย์ในการรักษาโรคลมชัก มิใช่ต้องการให้ผู้ป่วยไม่มีอาการชักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องไม่มีผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงของยากันชัก และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆในสังคมได้อย่างปกติ ถึงแม้อาจจะมีอาการชักบ้างก็ตาม ซึ่งจะทำให้มีคุณภาพชีวิตดีกว่าผู้ ป่วยที่รักษาแล้วไม่มีอาการชักเลย แต่มีผลแทรกซ้อนจากยา
การรักษาประกอบด้วย
ทุกการศึกษาพบว่า โรคลมชักจะก่อให้เกิดผลเสียหายหลายด้านถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น
แต่ข้อเสียของการรักษาก็มี เช่น
ดังนั้น แพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัวผู้ป่วย จึงต้องพิจารณาร่วมกัน ถึงข้อดีและข้อเสียของการทานยาและไม่ทานยาในการรักษาโรคลมชักอย่างรอบคอบ
เมื่อใดต้องทานยากันชัก?
ในการจะรักษาโรคลมชักด้วยยากันชัก แพทย์จะพิจารณาดังนี้
3. ควรทานยากันชักชนิดใด การพิจารณาชนิดของยากันชัก ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการชัก สาเหตุและข้อห้ามของการใช้ยาชนิดนั้นๆ ดังนั้น ผู้ป่วยและครอบครัวจึงควรให้ข้อมูลในอาการผิดปกติที่ถูกต้องกับแพทย์มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในการเลือกชนิดของยากันชัก ซึ่งจะเริ่มจากการใช้ยาชนิดเดียวก่อน และใช้ขนาดยาน้อยที่สุดเท่าที่ควบคุมการชักได้
4. ต้องใช้ยากันชักนานเท่าใด ส่วนใหญ่ผู้ป่วยต้องได้รับยากันชักประมาณ 2 ปี หรือมากกว่า หลังจากควบคุมอาการชักได้ เพื่อลดโอกาสในการชักซ้ำ โดยแพทย์จะพิจารณาปัจจัยต่างๆของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น สาเหตุของการชัก ความผิดปกติของระบบประสาท อายุที่เริ่มชัก ชนิดของการชัก ความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง ระยะเวลาที่ชักในแต่ละครั้ง และความถี่ของการชักก่อนการรักษา ทั้งนี้ เมื่อจะหยุดยากันชัก ก็จะต้องค่อยๆหยุดยาโดยใช้เวลาค่อยๆลดยานานประมาณ 6-12 เดือน
เมื่อใดต้องรักษาโรคลมชักด้วยการผ่าตัด?
สาเหตุของโรคลมชักมีหลายสาเหตุ ปัจจุบันการรักษาด้วยยากันชักสามารถระงับอาการชักได้เกือบทุกราย จะมีเพียงบางรายเท่านั้นที่ไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ด้วยยากันชัก หรือให้ผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการผ่าตัดอาจได้ผล
ก. ข้อบ่งชี้ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีผ่าตัดรักษาโรคลมชัก
1. มีพยาธิสภาพผิดปกติที่ต้องผ่าตัดอยู่แล้ว เช่น เนื้องอกในสมอง ถุงน้ำในสมอง หรือ หลอดเลือดสมองผิดปกติ
2. มีลักษณะของเนื้อสมองบางส่วนผิดปกติ เช่น เนื้อสมองส่วนขมับฝ่อลีบ หรือผิวเนื้อสมองบางส่วนเจริญผิดปกติ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของอาการชักและการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามในการใช้ยา เช่น การแพ้ยากันชัก
3. พยาธิสภาพนั้นๆ ต้องไม่ใช่ตำแหน่งของสมองในส่วนที่ผ่าตัดออกแล้วจะเป็นอัมพาต
ข. การเตรียมการรักษาด้วยการผ่าตัด
1. แพทย์จะสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายผู้ป่วยเพื่อพิจารณาว่าอาการชักเริ่มจากส่วนใดของสมอง
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจหาจุดกำเนิดของอาการชัก
3. การตรวจสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) สมองเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเนื้อสมองและจุดกำเนิดของการชัก
ทั้งนี้ เมื่อตรวจ 3 อย่างนี้ได้ผลตรงกันว่าจุดใดในสมองทำให้เกิดอาการชักจึงมาพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด
โรคลมชักเฉพาะกรณีมีอะไรบ้าง?
โรคลมชักเฉพาะกรณี ได้แก่
1. โรคลมชักและการตั้งครรภ์ (อ่านเพิ่มเติมในโรคลมชักในผู้หญิง) ปกติแล้วผู้ป่วยโรคลมชักไม่ควรตั้งครรภ์จนกว่าจะควบคุมอาการชักได้ และแพทย์แนะนำหยุดยากันชักแล้ว หรือถ้าได้รับก็ต้องเป็นยาขนาดต่ำ ซึ่งทั้งนี้โดยการคุมกำเนิดซึ่งแนะนำการใช้ห่วงหรือถุงยางอนามัย ไม่แนะนำการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะอาจมีผลต่อระดับยากันชักในเลือดได้
แต่ถ้าผู้ป่วยตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว แพทย์มักแนะนำให้ตั้งครรภ์ต่อไปได้ เพราะ 95% ของทารกที่คลอดจะปกติ โดยในช่วงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยอาจมีการเปลี่ยนแปลงความถี่ของการชักได้ เช่น อาจชักบ่อยขึ้นหรือชักน้อยลงก็ได้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิด ขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ ความเครียดที่เพิ่มขึ้น โดยมักพบว่าการชักจะถี่ขึ้น ในช่วง 8-24 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และช่วงระยะหลังคลอดเนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมาก
ก. ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักที่ตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์ที่ดูแลโรคลมชักอย่างสม่ำเสมอ ทานยาและพบแพทย์ตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา เพราะขณะตั้งครรภ์ อาจจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม เพื่อการปรับขนาดยาถ้ามีความจำเป็น และเพื่อการใช้วิตามินเสริมกรดโฟลิกเพื่อป้องกันความผิดปกติของลูก
ข. สตรีที่เป็นโรคลมชักสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษาโรคลมชักก่อนการตั้งครรภ์เสมอ และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ทั้งแพทย์ที่รักษาโรคลมชัก และสูติแพทย์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถให้กำเนิดบุตรได้ตามปกติ
2. ภาวะลมชักวิกฤต (Status epilepticus ย่อว่า SE) คือ การชักที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานมากกว่า 30 นาที หรือเกิดอาการชัก 2 ครั้งติดต่อกัน โดยระหว่างที่หยุดชักผู้ป่วยหมดสติตลอด ภาวะนี้เมื่อเกิดแล้วต้องรีบให้การรักษาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าชักนานกว่า 1 ชั่วโมง จะเกิดอันตรายต่อสมองได้ และถ้าชักนานกว่า 12 ชั่วโมง จะเกิดความพิการทางสมอง สาเหตุที่สำคัญของภาวะนี้คือ
ข้อแนะนำสำหรับภาวะลมชักวิกฤต?
การช่วยเหลือเบื้องต้นสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะถ้าช่วยเหลือไม่ถูกวิธีอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือเกิดผลแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงตามมาได้
ก. สิ่งที่ต้องทำคือ
อนึ่ง ภาวะลมชักจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ โดยสาเหตุของอุบัติเหตุศีรษะมี 2 แบบ คือ
โดยอาการชักจากสาเหตุนี้เราแบ่งได้เป็น 2 แบบ ตามระยะเวลาเกิดอุบัติเหตุ คือ ภายในสัปดาห์แรกหลังจากเกิดอุบัติเหตุ และหลังจากสัปดาห์แรกไปแล้ว โดยพบว่า
ก.ในกลุ่มผู้ป่วยที่เกิดอาการชักภายในสัปดาห์แรกนั้น 50% จะชักใน 1 ชั่วโมงแรก แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับ
ข. ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการชักหลังจาก 1 สัปดาห์ไปแล้ว พบ 50% อาการชักจะเกิดในปีแรกหลังอุบัติเหตุ โดยปัจจัยที่มีผลให้เกิดการชักได้แก่
ข้อแนะนำสำหรับภาวะลมชักจากอุบัติเหตุที่ศีรษะ
พบว่าการให้ยากันชักเพื่อป้องกันการชักนั้นไม่ได้ประโยชน์ ดังนั้น มักจะพิจารณาเมื่อผู้ป่วยมีอาการชักเกิดขึ้นมากกว่า 1 ครั้ง โดยในกลุ่มที่ชักในสัปดาห์แรก (ชักเร็ว) จะได้รับยาประมาณ 3 เดือนหรือนานกว่า ขึ้นกับสาเหตุและความถี่ของการชัก ส่วนกลุ่มที่ชักหลังจาก 1 สัปดาห์ไปแล้ว (ชักช้า) จะได้รับการรักษาเหมือนผู้ป่วยโรคลมชักทั่วไป
มีคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักอย่างไร?
คำแนะนำที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก คือ
1. การทานยากันชัก มีความสำคัญมากในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการชักอีก สิ่งที่ต้องปฏิบัติ ได้แก่
2. การปฏิบัติตนที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการชักซ้ำ และเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้แก่
3. ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยเมื่อเกิดอาการชัก ได้แก่
อนึ่ง สำหรับบุคคลที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังชัก
4. การดำรงชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก
การดำรงชีวิตของผู้ป่วยโรคลมชักขณะที่ไม่มีอาการชักก็เหมือนคนทั่วไป เช่น การเรียน การเล่นกีฬา แต่ควรเลี่ยงกิจกรรมบางชนิด เพราะเมื่อเกิดอาการชัก ผู้ป่วยจะหมดสติ และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เช่น
ที่มา: ศาสตราจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ เทียมเก่า โรงพยาบาลศรีนครินทร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น